ผิวแห้ง เป็นปัญหาที่พบได้บ่อย ซึ่งทำให้ผิวรู้สึกหยาบ, ตึง และบางครั้ง ก็มีอาการคัน หรือลอกเป็นขุย วิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุด ในการปลอบประโลม และป้องกันผิวแห้ง คือ การทำความสะอาดอย่างอ่อนโยน, การทามอยส์เจอไรเซอร์เป็นประจำ โดยใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของเซราไมด์ (Ceramides) หรือน้ำมันจากธรรมชาติ และการปกป้องผิวจากสภาพแวดล้อมที่รุนแรง การรับมือกับปัญหาผิวแห้ง มักต้องอาศัยความเข้าใจ ทั้งสาเหตุ และกิจวัตรประจำวันที่ดี ที่สุด ที่จะช่วยให้ผิวชุ่มชื้นอยู่เสมอ
การเปลี่ยนแปลงง่ายๆ เช่น การอาบน้ำอุ่นในระยะเวลาสั้นๆ แทนการอาบน้ำร้อน และการเลือกใช้ส่วนผสมในสกินแคร์ที่ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง สามารถสร้างความแตกต่างได้อย่างมาก ผู้ที่มีปัญหาผิวแห้งเรื้อรัง อาจได้รับประโยชน์จากการใช้เครื่องทำความชื้นในบ้าน และเปลี่ยนไปใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่ออกแบบมา สำหรับผิวแพ้ง่าย หรือผิวขาดน้ำโดยเฉพาะ ขั้นตอนเหล่านี้ สามารถช่วยฟื้นฟูเกราะป้องกันตามธรรมชาติของผิว และทำให้รู้สึกสบายผิวมากขึ้น
ประเด็นสำคัญที่ควรรู้
- ผิวแห้งจะดีขึ้นได้ ด้วยการดูแลอย่างอ่อนโยน และการใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่เหมาะสม
- กิจวัตรประจำวัน และสภาพแวดล้อม มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง ต่อความชุ่มชื้นของผิว
- ปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาจต้องปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ หรือใช้ผลิตภัณฑ์ที่คิดค้นขึ้นมาโดยเฉพาะ
สารบัญเนื้อหา
1. สาเหตุ และอาการหลักของผิวแห้ง
- สัญญาณทั่วไป และอาการที่ไม่พึงประสงค์
- สาเหตุจากปัจจัยภายใน และภายนอก
- ผลกระทบต่อผิวแพ้ง่าย และผิวขาดน้ำ
- สารฮิวเมกแทนต์ และเอมอลเลียนต์ สำหรับเกราะป้องกันผิว
2. กิจวัตรการดูแลผิวที่เหมาะสมที่สุด สำหรับคนผิวแห้ง
- การทำความสะอาดอย่างอ่อนโยน
- ขั้นตอนการให้ความชุ่มชื้น
- ครีมกันแดด และการป้องกันแสงแดด
- การจัดการเรื่องการผลัดเซลล์ผิว และการเลือกผลิตภัณฑ์
3. ข้อควรพิจารณาพิเศษ และคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ
- การดูแลปัญหาสิว และผิวแห้งไปพร้อมกัน
- การจัดการโรคผิวหนัง เช่น ผื่นแพ้ผิวหนังอักเสบ และโรคสะเก็ดเงิน
- เมื่อไหร่ที่ควรไปพบแพทย์ผิวหนัง
- กลยุทธ์การป้องกันในระยะยาว
สาเหตุ และอาการหลักของผิวแห้ง
ผิวแห้ง อาจแสดงอาการออกมาในลักษณะเป็นปื้นหยาบกร้าน, มีอาการคัน หรือรู้สึกตึงผิว ซึ่งอาจได้รับอิทธิพลจากปัจจัย ทั้งภายใน และภายนอกร่างกายหลายอย่าง โดยผลกระทบ มักจะเด่นชัดมากขึ้น หากเป็นคนผิวแพ้ง่าย หรือผิวขาดความชุ่มชื้น
สัญญาณทั่วไป และอาการที่ไม่พึงประสงค์
สัญญาณของผิวแห้ง ที่สังเกตได้ชัดเจนที่สุด ได้แก่ การลอกเป็นขุย, เป็นสะเก็ด หรือมีลักษณะเป็นสีขี้เถ้า โดยเฉพาะในผู้ที่มีโทนสีผิวเข้ม หลายคนมักจะรู้สึกตึงผิว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังอาบน้ำ หรือเมื่ออยู่ในสภาพอากาศที่แห้ง
อาการคันเป็นอาการที่พบบ่อย ซึ่งอาจมีตั้งแต่การระคายเคืองเล็กน้อย ไปจนถึงอาการคันต่อเนื่อง ในบางกรณี ผิวอาจแตกจนเห็นเป็นเส้นริ้วเล็กๆ หรือเป็นรอยแตกที่ลึกขึ้น ซึ่งอาจมีเลือดออกได้ในบางครั้ง
บางครั้งอาจมีรอยแดง หรือสีผิวที่คล้ำเทาปรากฏขึ้น ขึ้นอยู่กับโทนสีผิวของแต่ละคน สำหรับคนที่มีผิวแพ้ง่าย และมีภาวะต่างๆ เช่น โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง (Eczema) หรือโรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis) อาจมีอาการที่รุนแรงกว่า รวมถึงการอักเสบ และการลอกอย่างเห็นได้ชัด
สาเหตุจากปัจจัยภายใน และภายนอก
ผิวแห้ง เป็นผลมาจากการที่ผิวหนัง สูญเสียความชุ่มชื้นจากชั้นนอกสุด ตัวกระตุ้นจากภายนอกที่พบบ่อย ได้แก่ อากาศที่เย็นหรือแห้ง, การใช้สบู่ หรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่รุนแรง และการอาบน้ำบ่อยเกินไป โดยเฉพาะการอาบน้ำร้อน
เครื่องทำความร้อนในอาคาร, เครื่องปรับอากาศ และลม สามารถพรากน้ำมันตามธรรมชาติของผิวออกไปได้อีก สำหรับปัจจัยภายในจะเด่นชัดขึ้น ตามอายุที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากการผลิตน้ำมันของผิวจะลดลง และผิวจะบางลงตามธรรมชาติ
ภาวะทางการแพทย์บางอย่าง เช่น ภาวะไทรอยด์ต่ำ (Hypothyroidism), โรคเบาหวาน และโรคผิวหนังอย่างโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง และโรคสะเก็ดเงิน ก็เพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะผิวแห้งต่อเนื่องได้เช่นกัน ยาบางชนิด รวมถึงยาขับปัสสาวะ ก็อาจมีส่วนทำให้ผิวแห้งได้ โดยไปลดความสามารถของร่างกาย ในการกักเก็บความชุ่มชื้น
ผลกระทบต่อผิวแพ้ง่าย และผิวขาดน้ำ
ผิวแพ้ง่าย (Sensitive skin) จะอ่อนแอต่อความแห้ง และการระคายเคืองมากกว่า เนื่องจากเกราะป้องกันผิวมักจะอ่อนแอ ส่วนผิวขาดน้ำ (Dehydrated skin) จะแตกต่างออกไปเล็กน้อย โดยจะดูหมองคล้ำ และรู้สึกตึงผิว เนื่องจากมีปริมาณน้ำในผิวไม่เพียงพอ ซึ่งต่างจากผิวแห้งที่ขาดน้ำมัน
ผู้ที่เป็นโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง หรือโรคสะเก็ดเงิน อาจสังเกตเห็นว่าอาการของตนแย่ลง เมื่อผิวแห้ง นำไปสู่การกำเริบ, รอยแดง หรือการเกิดปื้นหนาๆ ส่วนผสมอย่างน้ำหอม, สารกันเสียบางชนิด และแอลกอฮอล์ในผลิตภัณฑ์ดูแลผิว สามารถทำร้ายผิวที่แพ้ง่าย หรือขาดน้ำให้แย่ลงไปอีก ทำให้มีอาการรุนแรงขึ้น
การดูแลที่เหมาะสม จำเป็นต้องหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่รุนแรง และหันมาเน้นใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน, ให้ความชุ่มชื้น และไม่มีน้ำหอม เพื่อปกป้อง และซ่อมแซมเกราะป้องกันผิว การดื่มน้ำให้เพียงพอ และการจัดการกับภาวะโรคประจำตัว ก็ช่วยลดอาการไม่สบายผิวได้เช่นกัน
ส่วนประกอบ | หน้าที่ |
---|---|
กรดไฮยาลูโรนิก | ดึงดูดน้ำ |
กลีเซอรีน | ดึงดูดความชุ่มชื้น |
เชียบัตเตอร์ | ทำให้นุ่ม และปรับสภาพผิว |
เซราไมด์ | ซ่อมแซมเกราะป้องกันผิว |
น้ำมันโจโจ้บา | ช่วยให้ผิวนุ่มนวล, ปลอบประโลมผิว |
ปิโตรลาทัม | สร้างชั้นเคลือบ, กักเก็บความชุ่มชื้น |
สารฮิวเมกแทนต์ และเอมอลเลียนต์ สำหรับเกราะป้องกันผิว
สารฮิวเมกแทนต์ และเอมอลเลียนต์ มีความสำคัญอย่างยิ่ง ในกิจวัตรการดูแลผิวแห้ง สารกลุ่มฮิวเมกแทนต์ เช่น กลีเซอรีน (Glycerin) และกรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid) จะทำหน้าที่ดึงน้ำจากสภาวะแวดล้อม เข้ามาสู่ผิวชั้นนอก แต่จำเป็นต้องใช้คู่กับสารกลุ่มเอมอลเลียนต์ หรือออคลูซีฟ (Occlusive) เพื่อป้องกันไม่ให้ความชุ่มชื้นระเหยออกจากผิว
ส่วนสารกลุ่มเอมอลเลียนต์ เช่น เชียบัตเตอร์ (Shea Butter), เซราไมด์ (Ceramides) และน้ำมันต่างๆ จะช่วยเติมเต็มช่องว่างระหว่างเซลล์ผิว ทำให้ผิวที่หยาบกร้านเรียบเนียนขึ้น และลดการเข้ามาของสารก่อการระคายเคือง ขณะที่วาสลีน (Vaseline) และผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของปิโตรเลียมเจลลี่ จัดเป็นสารกลุ่มออคลูซีฟ ซึ่งจะทำหน้าที่สร้างแผ่นฟิล์มเคลือบผิว เพื่อกักเก็บความชุ่มชื้นไว้ โดยเฉพาะในบริเวณที่ผิวแห้งมาก หรือแตกเป็นขุย
กิจวัตรการดูแลผิวที่สมดุล ควรประกอบ ด้วยสารฮิวเมกแทนต์ และเอมอลเลียนต์ และอาจเพิ่มสารออคลูซีฟ สำหรับจุดที่แห้งที่สุด การทาผลิตภัณฑ์ลงบนผิวที่ยังหมาดๆ จะช่วยเพิ่มการกักเก็บน้ำ และเสริมประสิทธิภาพ การให้ความชุ่มชื้นได้ดียิ่งขึ้น
กิจวัตรการดูแลผิวที่เหมาะสมที่สุด สำหรับคนผิวแห้ง
กิจวัตรการดูแลผิวแห้ง ที่มีโครงสร้างที่ดี จะมุ่งเน้นไปที่การรักษาความชุ่มชื้น, ปกป้องเกราะป้องกันผิว และป้องกันการสูญเสียความชุ่มชื้นเพิ่มเติม การดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอ และอ่อนโยน จะช่วยลดปัญหาผิวแห้ง, ลอกเป็นขุย และความรู้สึกตึงผิวได้
การทำความสะอาดอย่างอ่อนโยน
การทำความสะอาดอย่างอ่อนโยน เป็นสิ่งจำเป็น สำหรับคนผิวแห้ง ควรใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด (คลีนเซอร์) ที่อ่อนโยน และปราศจากน้ำหอม ซึ่งจะไม่ไปชะล้างน้ำมันตามธรรมชาติของผิวออกไป หลีกเลี่ยงสบู่ที่ทำให้เกิดฟองมาก หรือมีความรุนแรง เพราะจะยิ่งเพิ่มความแห้ง และการระคายเคือง
ควรใช้น้ำอุ่น (ไม่ใช่น้ำร้อน) ในการล้างหน้า เพราะน้ำที่ร้อนเกินไป จะชะล้างน้ำมันตามธรรมชาติ และทำลายความชุ่มชื้นของผิว ควรจำกัดการล้างหน้าไว้วันละสองครั้ง คือ ช่วงเช้า และเย็น เพื่อให้ผิวสะอาด โดยไม่แห้งจนเกินไป
ซับผิวให้แห้ง ด้วยผ้าขนหนูที่นุ่ม แทนการถู ซึ่งจะช่วยลดการระคายเคือง และช่วยรักษาความชุ่มชื้นไว้ ส่วนผสมอย่างเซราไมด์, กลีเซอรีน และกรดไฮยาลูรอนิกในคลีนเซอร์ จะช่วยรักษาความชุ่มชื้นไว้ ระหว่างการล้างหน้าได้
ขั้นตอนการให้ความชุ่มชื้น
การทามอยส์เจอไรเซอร์ทันที หลังล้างหน้า เป็นขั้นตอนสำคัญ สำหรับผิวแห้ง ครีมที่มีเนื้อข้น และอุดม ด้วยสารกลุ่มเอมอลเลียนต์ จะช่วยล็อกความชุ่มชื้น และซ่อมแซมเกราะป้องกันผิว ควรมองหาผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของเซราไมด์, เชียบัตเตอร์ และสควาเลน (Squalane) เพื่อประโยชน์สูงสุด
การลงสกินแคร์เป็นชั้นๆ (Layering) สามารถช่วยได้ โดยเริ่มจากเซรั่มให้ความชุ่มชื้น ที่มีกรดไฮยาลูรอนิก ตามด้วยครีม หรือเนื้อบาล์ม ควรใช้มอยส์เจอไรเซอร์ ทั้งในตอนเช้า และเย็น และทาซ้ำได้ตามต้องการ โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในสภาพอากาศที่แห้ง หรือเย็น
เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นเป็นพิเศษ ลองพิจารณาใช้มาสก์ สำหรับกลางคืน (Overnight Mask) หรือผลิตภัณฑ์กลุ่มออคลูซีฟอย่างปิโตรเลียมเจลลี่ก่อนนอน ซึ่งจะช่วยเพิ่มการกักเก็บความชุ่มชื้นได้อย่างเข้มข้น ควรหลีกเลี่ยงโลชั่นเนื้อบางเบา ซึ่งอาจให้ความชุ่มชื้นได้ไม่ยาวนานพอ สำหรับคนผิวแห้ง
ครีมกันแดด และการป้องกันแสงแดด
การทาครีมกันแดดทุกวัน จะช่วยปกป้องผิวแห้งจากความเสียหายของแสงแดด และการสูญเสียความชุ่มชื้น แนะนำให้ใช้ครีมกันแดดชนิด Broad-spectrum (ป้องกันได้ทั้ง UVA/UVB) ที่มีค่า SPF 30 เป็นอย่างน้อย แม้ในวันที่มีเมฆมาก ควรเลือกสูตรครีมกันแดดที่ให้ความชุ่มชื้น ซึ่งมีส่วนผสมของมอยส์เจอไรเซอร์ เพื่อความสบายผิว
มองหาครีมกันแดดที่ระบุว่า “ไม่อุดตันรูขุมขน” (Non-comedogenic) และ “ปราศจากน้ำหอม” (Fragrance-free) เพื่อลดการระคายเคือง ครีมกันแดดชนิด Physical (หรือ Mineral) ที่มีส่วนผสมของซิงค์ออกไซด์ (Zinc Oxide) หรือไทเทเนียมไดออกไซด์ (Titanium Dioxide) มักจะอ่อนโยนกว่า สำหรับผิวบอบบาง และแห้ง
ทาครีมกันแดด เป็นขั้นตอนสุดท้าย ในตอนเช้าหลังทามอยส์เจอไรเซอร์ อย่าลืมทาซ้ำทุกๆ สองชั่วโมง เมื่อต้องทำกิจกรรมกลางแจ้ง เป็นเวลานาน ควรสวมหมวก และหลีกเลี่ยงแสงแดด เพื่อเพิ่มการป้องกัน และลดการขาดน้ำของผิว
การจัดการเรื่องการผลัดเซลล์ผิว และการเลือกผลิตภัณฑ์
การผลัดเซลล์ผิว ช่วยขจัดผิวที่ลอกเป็นขุย และเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไป แต่ต้องทำด้วยความระมัดระวัง สำหรับคนผิวแห้ง ควรจำกัดการผลัดเซลล์ผิวไว้เพียงสัปดาห์ละหนึ่งถึงสองครั้ง ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิวประเภทสารเคมีที่อ่อนโยน เช่น กรดแลคติก (Lactic Acid) หรือกรดไกลโคลิก (Glycolic Acid) ที่มีความเข้มข้นต่ำ แทนสครับที่รุนแรง
หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิว ที่มีฤทธิ์แรงทุกวัน เช่น กรดไกลโคลิกความเข้มข้นสูง, กรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) หรือเบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide) เพราะอาจทำให้ผิวแห้ง และระคายเคืองยิ่งขึ้น ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิว ที่ใช้เอนไซม์ อาจเป็นทางเลือกที่อ่อนโยนกว่า
เมื่อเลือกผลิตภัณฑ์ดูแลผิวอื่นๆ ควรหลีกเลี่ยงน้ำหอม, สูตรที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ และส่วนผสมออกฤทธิ์ที่รุนแรง เว้นแต่จะได้รับคำแนะนำจากแพทย์ผิวหนัง ควรทดสอบอาการแพ้กับผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ทุกครั้ง (Patch-test) เพื่อลดความเสี่ยงของการระคายเคือง หรืออาการแพ้ ควรเน้นผลิตภัณฑ์ที่ระบุว่า สำหรับผิวแพ้ง่าย หรือผิวแห้ง เพื่อผลลัพธ์ที่ดี ที่สุด
ข้อควรพิจารณาพิเศษ และคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ
การจัดการปัญหาผิวแห้ง มักต้องรับมือกับปัญหาผิวอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น สิว และผื่นแพ้ผิวหนังอักเสบ (Eczema) การรู้ว่าเมื่อไหร่ควรไปพบผู้เชี่ยวชาญ และการปรับพฤติกรรม เพื่อปกป้องเกราะป้องกันผิวในระยะยาว จึงเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งสถานการณ์เหล่านี้ ต้องอาศัยแนวทางที่เหมาะสม เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี ที่สุด
การดูแลปัญหาสิว และผิวแห้งไปพร้อมกัน
คนที่มีผิวแห้ง แต่มีแนวโน้มเป็นสิวง่าย (Acne-prone) ต้องเลือกผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเติมความชุ่มชื้น โดยไม่ทำให้เกิดการอุดตัน ควรเลือกใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่อ่อนโยน และไม่มีส่วนผสมที่ก่อให้เกิดการอุดตัน (Non-comedogenic) เช่น ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic acid) หรือกลีเซอรีน (Glycerin) ซึ่งจะช่วยเติมความชุ่มชื้น พร้อมกับรักษาความสะอาดของรูขุมขน
ควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด ที่รุนแรง จนทำให้ผิวแห้งตึง รวมถึงส่วนผสมที่รุนแรงอย่างเบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl peroxide) หรือแอลกอฮอล์ แต่ให้ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่อ่อนโยน และปราศจากน้ำหอมแทน และควรใช้ผลิตภัณฑ์รักษาสิวแบบแต้มเฉพาะจุด แทนการทาทั่วทั้งใบหน้า หากมีการใช้ยารักษาสิวกลุ่มเรตินอยด์ (Retinoids) สิ่งสำคัญ คือ ต้องใช้ควบคู่กับครีมที่มีส่วนผสมของสารให้ความชุ่มชื้นสูง (Emollient) เพื่อลดการระคายเคือง และอาการผิวแห้ง
ตัวอย่างขั้นตอนการดูแลผิว
- เช้า : คลีนเซอร์สูตรอ่อนโยน, มอยส์เจอไรเซอร์เนื้อบางเบา, ครีมกันแดด
- เย็น : คลีนเซอร์สูตรอ่อนโยน, ยารักษาสิวแบบแต้มเฉพาะจุด (ถ้าจำเป็น), มอยส์เจอไรเซอร์เนื้อเข้มข้น
สำหรับคนที่มีผิวผสม (Combination skin) คือ มีทั้งส่วนที่มัน และแห้ง ควรใช้ผลิตภัณฑ์เติมความชุ่มชื้นเฉพาะบริเวณที่แห้ง และใช้ผลิตภัณฑ์ควบคุมความมันเฉพาะบริเวณที่มันเท่านั้น
การจัดการโรคผิวหนัง เช่น ผื่นแพ้ผิวหนังอักเสบ และโรคสะเก็ดเงิน
ผื่นแพ้ผิวหนังอักเสบ (Eczema) และโรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis) เป็นภาวะเรื้อรัง ที่สามารถทำให้ผิวแห้งมีอาการแย่ลงได้ สำหรับ Eczema สิ่งสำคัญ คือ การใช้ครีม หรือขี้ผึ้งที่เนื้อหนา และปราศจากน้ำหอม การทาทันทีหลังอาบน้ำ จะช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นไว้ได้ดีที่สุด
ส่วนโรคสะเก็ดเงิน มักจะตอบสนองได้ดีกับมอยส์เจอไรเซอร์ ที่มีส่วนผสมของยูเรีย (Urea), กรดแลคติก (Lactic acid) หรือเซราไมด์ (Ceramides) เพื่อช่วยให้สะเก็ดผิวนุ่มลง ควรหลีกเลี่ยงการอาบน้ำร้อนจัด และการขัดผิวที่รุนแรง รวมถึงตัวกระตุ้นอย่างน้ำหอม และเสื้อผ้าที่ทำจากขนสัตว์ ซึ่งอาจทำให้อาการแย่ลงได้
การแช่น้ำอุ่นในระยะเวลาสั้นๆ โดยผสมข้าวโอ๊ตคอลลอยด์ (Colloidal oatmeal) ลงไป สามารถช่วยบรรเทาอาการระคายเคืองได้ทั้งสองภาวะ สมาคมโรคผิวหนังอักเสบแห่งชาติ (The National Eczema Association) และแพทย์ผิวหนังต่างแนะนำให้ทามอยส์เจอไรเซอร์ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นแก่ผิวทุกวัน และใช้ขี้ผึ้งที่มีคุณสมบัติเคลือบผิว (Occlusive ointments)
การจัดการที่เหมาะสม จะช่วยลดการกำเริบของโรค และบรรเทาอาการไม่สบายผิว ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องได้
เมื่อไหร่ที่ควรไปพบแพทย์ผิวหนัง
ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนัง เมื่อดูแลผิวแห้งด้วยตัวเอง แล้วอาการไม่ดีขึ้น, รู้สึกเจ็บปวด, ผิวแตก, มีเลือดออก หรือมีสัญญาณของการติดเชื้อ (เช่น รอยแดง, อาการบวม หรือมีหนอง) หากผลิตภัณฑ์ที่หาซื้อได้ทั่วไปใช้ไม่ได้ผล อาจจำเป็นต้องใช้ครีมหรือขี้ผึ้งที่แพทย์สั่ง
ผู้ที่มีประวัติแพ้ง่าย, มีผื่นขึ้นต่อเนื่อง หรือมีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเช่นกัน สำหรับคนที่เป็นสิวรุนแรง หรือมีปัญหาผิวซับซ้อน แพทย์ผิวหนังที่ได้รับการรับรอง (Board-certified Dermatologist) จะสามารถแนะนำการรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคลได้
การตรวจผิวเป็นประจำ จะช่วยให้ติดตามการเปลี่ยนแปลง, รับมือกับสัญญาณของริ้วรอยแห่งวัยได้ตั้งแต่เนิ่นๆ และทำให้มั่นใจว่า การรักษายังคงมีประสิทธิภาพ
กลยุทธ์การป้องกันในระยะยาว
เพื่อรักษาสุขภาพผิวให้ดีอยู่เสมอ การดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอ และมีพฤติกรรมที่ช่วยปกป้องผิวถือเป็นเรื่องสำคัญ การทามอยส์เจอไรเซอร์ที่ไม่มีน้ำหอม และมีส่วนผสมของสารให้ความชุ่มชื้นสูง (emollient-based) ทุกวัน โดยเฉพาะหลังอาบน้ำ จะช่วยรักษาเกราะป้องกันผิวได้
การปกป้องผิวจากสภาพอากาศที่รุนแรง, การใช้เครื่องทำความชื้นในสภาพอากาศแห้ง และการทาครีมกันแดดชนิด Broad-spectrum ตลอดทั้งปี จะช่วยป้องกันไม่ให้ผิวแห้งมากขึ้น และเกิดริ้วรอยก่อนวัย ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่อ่อนโยน และมีค่า pH ที่สมดุล และหลีกเลี่ยงการอาบน้ำร้อนเป็นเวลานาน
การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ควบคู่กับการดื่มน้ำให้เพียงพอ ก็ช่วยส่งเสริมสุขภาพผิวได้เช่นกัน สำหรับผู้ที่มีแนวโน้มที่จะเกิดอาการกำเริบ หรือผิวแห้งเรื้อรัง การเข้าพบแพทย์ผิวหนังเป็นระยะ จะช่วยปรับกลยุทธ์การดูแลผิว และการรักษาให้เหมาะสมอยู่เสมอ