รอยแดงจากสิว รักษายังไง ครบจบทุกวิธี ตั้งแต่สกินแคร์ ไปจนถึงหัตถการ

รอยแดงรักษายังไง

รอยแดงจากสิว สามารถทิ้งร่องรอยไว้บนผิวได้นาน แม้ว่าสิวจะหายดีแล้วก็ตาม ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าหงุดหงิดใจ และคอยย้ำเตือนถึงปัญหาผิวที่เคยเกิดขึ้น รอยแดงเหล่านี้ มีชื่อเรียกทางการแพทย์ว่า รอยแดงหลังการอักเสบ (Post-Inflammatory Erythema หรือ PIE) เกิดขึ้นเมื่อสิวอักเสบ ทำให้เส้นเลือดฝอยใต้ผิวหนังขยายตัว หรือในบางครั้งก็ได้รับความเสียหาย

วิธีที่ดี ที่สุด ในการรักษารอยแดงจากสิว คือ การดูแลผิวอย่างอ่อนโยน ควบคู่ไปกับการรักษาที่ตรงจุด เพื่อช่วยลดการอักเสบ และทำให้รอยแดงที่มองเห็นจางลง การรักษาให้ได้ผลต้องอาศัยความอดทน และความสม่ำเสมอ เพราะโดยทั่วไปแล้ว รอยแดงจะค่อยๆ จางลงเองภายในเวลาหลายสัปดาห์ ไปจนถึงหลายเดือน หากได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม

การทำความเข้าใจความแตกต่างระหว่าง “รอยแดง” ที่เป็นเพียงชั่วคราว กับ “แผลเป็นหลุมสิว” ที่เป็นแบบถาวร จะช่วยให้เราเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมได้ เพราะในขณะที่รอยแดง เป็นเพียงปัญหาของเส้นเลือดที่เกิดจากการอักเสบ และสามารถดีขึ้นได้ เมื่อเวลาผ่านไป พร้อมกับการดูแลที่ถูกวิธี แต่แผลเป็นที่รุนแรงกว่า อาจจำเป็นต้องให้ผู้เชี่ยวชาญเข้ามาดูแล เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

สรุปประเด็นสำคัญ

  • รอยแดงจากสิว เกิดจากการอักเสบที่ทำลายเส้นเลือดใต้ผิวหนัง
  • การดูแลผิวอย่างอ่อนโยน ร่วมกับส่วนผสมที่ช่วยลดการอักเสบ คือ พื้นฐานสำคัญของการรักษา
  • การรักษาโดยผู้เชี่ยวชาญ เช่น การทำเลเซอร์ จะให้ผลลัพธ์ที่รวดเร็วกว่า หากการดูแลด้วยตัวเองยังไม่เพียงพอ

สารบัญเนื้อหา

1. ทำความเข้าใจเรื่องรอยแดงจากสิว

2. แนวทางหลักในการดูแลผิว เพื่อลดรอยสิว

3. วิธีรักษารอยสิวแดงโดยผู้เชี่ยวชาญ และเทคโนโลยีขั้นสูง

4. การป้องกัน และดูแลรอยสิวอย่างต่อเนื่อง

ทำความเข้าใจเรื่องรอยแดงจากสิว

รอยแดงจากสิว เกิดขึ้นเมื่อการอักเสบของสิว ไปทำลายเส้นเลือดฝอยที่อยู่ใต้ผิวหนัง ทำให้เกิดเป็นรอยแดงค้างอยู่บนผิว ซึ่งอาจอยู่นานหลายสัปดาห์ หรือเป็นเดือน รอยแดงชนิดนี้ จะแตกต่างจากรอยดำ และหลุมสิว ทั้งในด้านลักษณะที่มองเห็น และวิธีการรักษา

สาเหตุของรอยแดงหลังสิวหาย

รอยแดงหลังการอักเสบ หรือในภาษาอังกฤษเรียกว่า Post-inflammatory erythema (PIE) เกิดขึ้นเมื่อสิวกระตุ้นให้ร่างกายเกิดการอักเสบ ระบบภูมิคุ้มกัน จะส่งเม็ดเลือดขาวมาต่อสู้กับแบคทีเรีย ในรูขุมขนที่อุดตัน ทำให้ผิวบริเวณนั้นบวม และเนื้อเยื่อได้รับความเสียหาย

ในระหว่างกระบวนการนี้ เส้นเลือดฝอยที่อยู่ใกล้ๆ บริเวณที่เป็นสิวจะขยายตัว และได้รับความเสียหายไปด้วย เมื่อสิวหายดีแล้ว เส้นเลือดฝอยที่บาดเจ็บเหล่านี้ จะยังคงปรากฏให้เห็นเป็นรอยสีแดง หรือสีชมพูอยู่บนผิว

ปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดรอยแดง (PIE)

  • เป็นสิวอักเสบรุนแรง (เช่น สิวหัวช้าง, สิวหนอง)
  • ชอบแกะ หรือบีบสิว
  • ปล่อยสิวอักเสบไว้นาน ไม่รีบรักษา
  • คนที่มีผิวขาว
  • คนที่มีผิวบอบบางแพ้ง่าย

ความเข้มของรอยแดง จะขึ้นอยู่กับว่าการอักเสบนั้นลงลึกไปในชั้นผิวมากแค่ไหน ยิ่งสิวอักเสบลึกมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งทิ้งรอยแดงที่ชัด และอยู่นานขึ้นเท่านั้น และต้องใช้เวลานานกว่ารอยแดงจะจางลงไปเอง

ความแตกต่างระหว่าง “รอยแดง” (PIE) และ “รอยดำ” (PIH)

รอยแดง (PIE) และรอยดำ (Post-inflammatory Hyperpigmentation หรือ PIH) เป็นรอยสิวคนละชนิดกัน และต้องใช้วิธีการรักษาที่แตกต่างกัน

  • รอยแดง (PIE) จะมีลักษณะเป็นรอยสีแดง หรือชมพู ซึ่งมีสาเหตุมาจากเส้นเลือดฝอยที่เสียหาย
  • รอยดำ (PIH) จะปรากฏเป็นจุดสีน้ำตาล ดำ หรือสีม่วงคล้ำ ซึ่งเกิดจากการที่ผิวผลิตเม็ดสีเมลานินออกมามากเกินไป เพื่อตอบสนองต่อการอักเสบ ทำให้เกิดเป็นรอยสิวที่สีเข้มขึ้น

สรุปความแตกต่างที่สำคัญ

PIE PIH
สีแดง/ชมพู สีน้ำตาล/คล้ำ
หลอดเลือดเสียหาย เมลานินส่วนเกิน
พบบ่อยในโทนสีผิวที่สว่างกว่า พบบ่อยในโทนสีผิวที่คล้ำกว่า
จางลงช้ากว่าตามธรรมชาติ อาจจางลงเร็วกว่า เมื่อเวลาผ่านไป

เราสามารถทดสอบ เพื่อแยกความแตกต่างระหว่างรอยสิว 2 ชนิดนี้ได้ง่ายๆ ด้วยการ นำกระจกใสกดลงบนรอยนั้น หากเป็น รอยแดง (PIE) รอยจะจางลงชั่วคราวเมื่อถูกกด แต่ถ้าเป็น รอยดำ (PIH) รอยจะยังคงมองเห็นได้เหมือนเดิม

รอยแดงจากสิว vs. หลุมสิว/แผลเป็นจากสิว

รอยแดงจากสิว และแผลเป็นจากสิว คือความเสียหายของผิวคนละประเภทกัน และต้องการการรักษาที่แตกต่างกัน รอยสิว (Acne marks) คือ การเปลี่ยนสีของผิวหนังที่อยู่ชั้นบนสุดเพียงชั่วคราว ในขณะที่ แผลเป็นจากสิว (Acne scars) คือ การเปลี่ยนแปลงของ เนื้อผิว อย่างถาวร

แผลเป็นจากสิว เกิดจากการอักเสบที่รุนแรง จนเข้าไปทำลายคอลลาเจน และอีลาสตินในชั้นผิวที่ลึกลงไป ทำให้เกิดเป็นรอยบุ๋ม หรือ หลุมสิว (Atrophic scars) หรือ แผลเป็นนูน (Hypertrophic scars) ขึ้นมาอย่างถาวร ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงพื้นผิวของผิวหนังไปเลย

ส่วน รอยแดงจากสิว จะมีลักษณะเนื้อผิวที่เรียบเนียนเป็นปกติ และสุดท้ายจะค่อยๆ จางหายไปได้เองตามกาลเวลา โดยไม่จำเป็นต้องรักษา เพราะเป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงของสีผิวชั่วคราว ไม่ใช่ความเสียหายเชิงโครงสร้างของผิว

ความแตกต่างในการรักษา

  • รอยแดง : สามารถรักษาให้หายเร็วขึ้นได้ ด้วยยาทา และใช้เวลา
  • หลุมสิว/แผลเป็น : จำเป็นต้องทำหัตถการโดยผู้เชี่ยวชาญ เช่น การทำเลเซอร์ หรือการผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมี (Chemical peels)
  • แผลเป็น : ต้องการการรักษาที่จริงจัง และลงลึกกว่า เพื่อให้เห็นผลการเปลี่ยนแปลง

คนส่วนใหญ่ มักมีรอยสิว ทั้งสองประเภทนี้ เกิดขึ้นพร้อมๆ กัน ดังนั้น การรักษาแบบผสมผสานจึงเป็นแนวทางที่ให้ผลลัพธ์ที่ดี ที่สุด

แนวทางหลักในการดูแลผิว เพื่อลดรอยสิว

การดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอ โดยใช้ส่วนผสมที่ตรงจุด จะช่วยลดรอยแดงจากสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งป้องกันการเกิดสิวใหม่ หัวใจสำคัญ คือ การสร้างสมดุลระหว่างการใช้ผลิตภัณฑ์ ที่ช่วยรักษาสิวกับการดูแลผิวอย่างอ่อนโยน เพื่อหลีกเลี่ยงการระคายเคือง ที่อาจทำให้รอยแดงแย่ลง

ขั้นตอนการดูแลผิวประจำวัน สำหรับลดรอยแดงจากสิว

ขั้นตอนตอนเช้า

  1. ล้างหน้า : เริ่มต้นด้วยคลีนเซอร์สูตรอ่อนโยน ที่มีส่วนผสมของกรดซาลิไซลิก (Salicylicacid) เพื่อขจัดความมันส่วนเกิน โดยไม่ทำให้ผิวแห้งตึง
  2. ทาเซรั่ม : ทาเซรั่มวิตามินซี (VitaminC) เพื่อเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ และช่วยซ่อมแซมผิว
  3. ทามอยส์เจอร์ไรเซอร์ : ใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์เนื้อบางเบา ที่มีส่วนผสมช่วยลดการอักเสบ เช่น ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide)
  4. ทากันแดด : ปิดท้ายด้วยครีมกันแดด ที่ปกป้องผิวได้ครอบคลุม (Broad−spectrum) มีค่า SPF30 ขึ้นไป

ขั้นตอนตอนเย็น

  1. ล้างหน้า : ใช้คลีนเซอร์สูตรอ่อนโยนตัวเดิม หรือเปลี่ยนเป็นคลีนเซอร์เนื้อครีม สำหรับผิวแพ้ง่าย
  2. ทาทรีตเมนต์ : ทาเรตินอล (Retinol) หรือเตรติโนอิน (Tretinoin) สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง เพื่อช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิว
  3. บำรุง : ในคืนที่ไม่ได้ใช้เรตินอยด์ ให้ใช้เซรั่มที่เน้นให้ความชุ่มชื้น และมีส่วนผสมลดการอักเสบ
  4. ทามอยส์เจอร์ไรเซอร์ : ทามอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่เนื้อเข้มข้นขึ้น เพื่อช่วยฟื้นฟูผิวในตอนกลางคืน

คำแนะนำ : สำหรับคนที่มีแนวโน้มเป็นสิวง่าย ควรเริ่มใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ทีละน้อย โดยเริ่มจากส่วนผสมที่มีความเข้มข้นต่ำๆ ก่อน แล้วค่อยๆ เพิ่มความถี่ในการใช้ เมื่อผิวเริ่มปรับตัวได้

ส่วนผสมสำคัญ ที่ช่วยลดรอยแดง

กลุ่มกรดผลัดเซลล์ผิว (ExfoliatingAcids)

  • กรดซาลิไซลิก (Salicylicacid หรือ BHA) : ซึมลึกลงไปในรูขุมขน เพื่อลดการอักเสบ และป้องกันสิวใหม่
  • กรดไกลโคลิก (Glycolicacid หรือ AHA) : ช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้น และรอยสิวจางลง
  • กรดแลคติก (Lacticacid) : เป็น AHA ที่อ่อนโยนกว่า เหมาะสำหรับผิวแพ้ง่าย

กลุ่มเร่งการสร้างเซลล์ผิวใหม่ (CellRenewalIngredients)

  • เรตินอล (Retinol) : เป็นอนุพันธ์วิตามินเอ (เรตินอยด์) ที่หาซื้อได้ทั่วไป ช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิว
  • เตรติโนอิน (Tretinoin) : เป็นเรตินอยด์ที่ต้องสั่งโดยแพทย์ ให้ผลลัพธ์ที่เร็วกว่า และชัดเจนกว่า
  • วิตามินซี (VitaminC) : ช่วยให้ผิวกระจ่างใส และเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ

กลุ่มลดการอักเสบ (Anti−inflammatoryIngredients)

  • ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide) : ช่วยลดรอยแดง และควบคุมความมัน
  • ว่านหางจระเข้ (Aloevera) : ช่วยปลอบประโลมผิวที่ระคายเคืองอย่างเป็นธรรมชาติ
  • กรดอะซีลาอิก (Azelaicacid) : ช่วยจัดการทั้งปัญหาสิว และรอยดำหลังการอักเสบ

ข้อควรระวัง : เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoylperoxide) สามารถช่วยป้องกันสิวใหม่ได้ แต่อาจทำให้ผิวไวต่อการระคายเคืองมากขึ้น เมื่อใช้ร่วมกับส่วนผสมออกฤทธิ์อื่นๆ

วิธีหลีกเลี่ยงการระคายเคือง และตัวกระตุ้น

ผลิตภัณฑ์ที่ควรหลีกเลี่ยง

  • สครับที่เม็ดบีดหยาบ : อาจทำให้การอักเสบ และรอยแดงแย่ลง
  • โทนเนอร์ที่มีแอลกอฮอล์ : จะทำลายเกราะป้องกันผิวตามธรรมชาติ
  • มอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่เนื้อหนัก : อาจอุดตันรูขุมขน และทำให้เกิดสิวใหม่
  • คลีนเซอร์ที่รุนแรง และมีสารซัลเฟต (Sulfates) : ทำให้ผิวแห้ง และระคายเคือง

คำแนะนำในการใช้

  • เริ่มทีละตัว : ควรเริ่มใช้ส่วนผสมที่ออกฤทธิ์ (เช่น เรตินอล, AHA/BHA) ทีละตัว เพื่อทดสอบว่า ผิวทนได้ หรือไม่
  • ใช้สลับวัน : ให้ใช้เรตินอยด์สลับคืนกับ AHA/BHA เพื่อป้องกันการผลัดเซลล์ผิวที่มากเกินไป

ปัจจัยแวดล้อม

  • แสงแดด : ปกป้องผิวจากแสงแดดเสมอ เพราะแดดจะทำให้รอยแดงเข้มขึ้น และหายช้าลง
  • น้ำหอม : ใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม (Fragrance−free) เพื่อลดความเสี่ยงในการระคายเคือง

การจัดการความถี่

  • เริ่มต้นช้าๆ : สำหรับส่วนผสมที่ออกฤทธิ์แรง เช่น เรตินอยด์ และกรดไกลโคลิก ควรเริ่มใช้แค่สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง
  • ค่อยๆ เพิ่ม : จากนั้นค่อยๆ เพิ่มความถี่ขึ้น เมื่อผิวปรับตัวได้แล้ว เพื่อป้องกันการระคายเคือง ที่อาจทำให้รอยแดงแย่ลง

วิธีรักษารอยสิวแดงโดยผู้เชี่ยวชาญ และเทคโนโลยีขั้นสูง

การรักษากับผู้เชี่ยวชาญ จะให้ผลลัพธ์ที่รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากกว่า สำหรับรอยสิวแดงที่ดื้อยา และไม่ตอบสนองต่อผลิตภัณฑ์ที่หาซื้อได้ทั่วไป การรักษาด้วยวิธีต่างๆ เช่น การผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมี (Chemical Peels), การทำเลเซอร์ (Laser Therapies) และการรักษาเฉพาะทางอื่นๆ จะมุ่งเป้าไปที่การลดรอยแดงจากสิว (Post-Inflammatory Erythema) โดยตรง ผ่านการผลัดเซลล์ผิวชั้นนอกอย่างควบคุมได้ และการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน

การผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมี (Chemical Peels) เพื่อรักษารอยแดง

วิธีนี้ จะใช้กรดที่ควบคุมความเข้มข้น เพื่อกำจัดชั้นผิวที่เสียหาย และเร่งกระบวนการสร้างเซลล์ผิวใหม่

  • กรดไกลโคลิก (Glycolic Acid) : ช่วยลดรอยแดงได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยกระตุ้นให้ผิวฟื้นตัว และสร้างผิวใหม่ได้เร็วขึ้น
  • กรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) : สามารถซึมลึกลงไปในรูขุมขนได้ดี จึงเหมาะอย่างยิ่ง สำหรับคนที่มีแนวโน้มเป็นสิวง่าย ช่วยลดการอักเสบ และป้องกันการเกิดสิวใหม่ ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดรอยเพิ่ม

ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในคลินิก จะมีความเข้มข้นของกรดสูงกว่าผลิตภัณฑ์ที่หาซื้อใช้เองที่บ้าน โดยแพทย์ผิวหนังผู้เชี่ยวชาญ จะสามารถปรับระดับความเข้มข้นให้เหมาะสมกับสภาพผิว และความรุนแรงของรอยสิวในแต่ละคนได้

ประเภทของการผลัดเซลล์ผิวที่นิยมใช้

  • แบบอ่อน : ใช้กรดไกลโคลิกความเข้มข้น 20−30%
  • แบบปานกลาง : ใช้กรดไกลโคลิกความเข้มข้น 35−50%
  • แบบกรดซาลิไซลิก : ใช้ความเข้มข้น 20−30%

คนไข้ส่วนใหญ่ ต้องทำประมาณ 3-6 ครั้ง โดยเว้นระยะห่างกัน 2-4 สัปดาห์ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

การรักษาด้วยเลเซอร์ และแสง (Laser and Light-Based Therapies)

การทำเลเซอร์ จะมุ่งเป้าไปที่เส้นเลือดใต้ผิวหนัง ซึ่งเป็นสาเหตุของรอยแดง

  • IPL (Intense Pulsed Light) : เป็นการใช้คลื่นแสงช่วงกว้าง เพื่อช่วยลดรอยแดง โดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อรอบข้าง
  • Pulsed Dye Laser (PDL) : เป็นเลเซอร์ที่เน้นทำลายเม็ดสีแดงโดยเฉพาะ และใช้ได้ผลดีกับหลากหลายสีผิว โดยทั่วไปต้องทำหลายครั้ง เพื่อให้รอยจางลงจนหมด
  • Fractional Laser : เป็นการสร้างแผลขนาดเล็กมากๆ ที่มองไม่เห็นบนผิวหนัง เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และการผลัดเซลล์ผิวใหม่ วิธีนี้ ช่วยได้ทั้งเรื่องรอยแดง และปัญหาผิวไม่เรียบเนียนเล็กน้อยจากสิว

ข้อควรพิจารณาในการรักษาด้วยเลเซอร์

  • ต้องทำประมาณ 3-5 ครั้ง
  • เว้นระยะห่างระหว่างการทำแต่ละครั้ง 4-6 สัปดาห์
  • อาจมีอาการแดงชั่วคราว 1-3 วันหลังทำ
  • จำเป็นต้องทาครีมกันแดดสม่ำเสมอ ระหว่างพักฟื้นผิว
  • จะเริ่มเห็นผลลัพธ์หลังทำไปแล้ว 2-3 ครั้ง และจะค่อยๆ ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในอีกหลายเดือนถัดมา

เมื่อไหร่ที่ควรไปพบแพทย์ผิวหนังผู้เชี่ยวชาญ

หากรอยแดงยังคงอยู่นานเกิน 6-12 เดือน ควรไปให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญประเมิน แพทย์จะสามารถวินิจฉัยได้ว่า รอยนั้น เป็นเพียงรอยชั่วคราว หรือเป็นแผลเป็นถาวร ซึ่งต้องการวิธีการรักษาที่แตกต่างกัน

ผู้ที่มีสีผิวเข้ม ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนัง ก่อนตัดสินใจทำเลเซอร์ เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน เช่น สีผิวเข้มขึ้น (Hyperpigmentation) หรือสีผิวจางลง (Hypopigmentation) ที่อาจเกิดขึ้นได้ หากเลือกวิธีที่ไม่เหมาะสม

กรณีที่มีรอยแดงจำนวนมาก เป็นบริเวณกว้างบนใบหน้า การรักษาโดยผู้เชี่ยวชาญ จะให้ผลดีกว่าการใช้ยาทาเฉพาะจุด เพราะบรรณาธิการความงาม หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสกินแคร์ ไม่สามารถให้คำแนะนำทางการแพทย์ สำหรับเคสที่ซับซ้อนได้

สัญญาณที่บอกว่าควรไปพบแพทย์

  • รอยสิวไม่หายไป แม้จะผ่านมานานกว่า 12 เดือน
  • ใช้ผลิตภัณฑ์ที่หาซื้อเอง แล้วอาการไม่ดีขึ้นเลยใน 3 เดือน
  • รอยสิวแย่ลง หรือมีจำนวนเพิ่มขึ้น แม้จะพยายามรักษาแล้ว
  • ไม่แน่ใจว่า รอยที่เป็นอยู่ คือ แผลเป็น หรือแค่รอยแดงชั่วคราว

แพทย์ผิวหนังผู้เชี่ยวชาญ ได้รับการฝึกฝนมาโดยเฉพาะ ในการรักษารอยสิวขั้นสูง และสามารถวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคลได้

การป้องกัน และดูแลรอยสิวอย่างต่อเนื่อง

การปกป้องผิวจากรังสียูวี (UV) และการใช้เทคนิคแต่งหน้าที่เหมาะสม จะช่วยลดเลือนรอยสิวแดงให้จางลงได้อย่างมาก และยังช่วยป้องกันไม่ให้เกิดรอยใหม่ขึ้นอีกด้วย การทากันแดดเป็นประจำทุกวัน และการเลือกใช้เครื่องสำอางที่ถูกต้อง จะช่วยรักษาสีผิวให้สม่ำเสมอ ในระหว่างที่ผิวกำลังฟื้นตัว

วิธีป้องกันผิวจากแสงแดด

  • ทากันแดดทุกวัน : ควรทาครีมกันแดดชนิด Broad−spectrum ที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไปเป็นประจำทุกวัน ไม่ว่าวันนั้นแดดจะออกหรือไม่ก็ตาม เพราะการโดนรังสียูวี จะยิ่งทำให้รอยแดงจากสิวแย่ลง และอาจทำให้รอยหายช้าไปอีกเป็นเดือน
  • รังสียูวีทำให้รอยชัดขึ้น : บริเวณที่เป็นรอยสิวแดงนั้น มีเส้นเลือดฝอยที่เสียหายอยู่ ซึ่งจะยิ่งมองเห็นได้ชัดขึ้น เมื่อโดนรังสียูวี ดังนั้น การทากันแดดอย่างสม่ำเสมอ จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้รอยจางลงได้เร็วขึ้น
  • เลือกกันแดดที่เหมาะกับคนเป็นสิว : ควรมองหาครีมกันแดดที่มีส่วนผสมของซิงค์ออกไซด์ (Zinc Oxide) หรือไทเทเนียมไดออกไซด์ (Titanium Dioxide) ซึ่งเป็นสูตรที่ผลิตมา เพื่อคนผิวมันเป็นสิวง่ายโดยเฉพาะ กันแดดกลุ่มนี้ (เรียกว่า Mineral Sunscreen) จะทำหน้าที่เป็นเหมือนเกราะเคลือบผิว เพื่อป้องกันรังสียูวี โดยไม่ก่อให้เกิดการอุดตันในรูขุมขน
  • ทาซ้ำระหว่างวัน : สิ่งสำคัญ คือ ต้องทาซ้ำทุกๆ 2 ชั่วโมง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทำกิจกรรมกลางแจ้ง หลายคนมักลืมขั้นตอนนี้ ซึ่งทำให้ประสิทธิภาพในการป้องกันแดดลดลงไปมาก
  • ป้องกันรอยดำฝังลึก : นอกเหนือจากการป้องกันมะเร็งผิวหนังแล้ว การทากันแดดอย่างเหมาะสม ยังช่วยป้องกันไม่ให้รอยแดงกลายเป็นรอยดำฝังลึก (Hyperpigmentation) ที่หายยากอีกด้วย ข้อนี้สำคัญอย่างยิ่ง สำหรับคนที่มีสีผิวสว่าง (ผิวประเภท I ถึง III ตามหลัก Fitzpatrick) ซึ่งเป็นกลุ่มที่ผิวไวต่อแดด และเกิดรอยได้ง่าย

เคล็ดลับการใช้ชีวิต และการแต่งหน้าเพื่อให้สีผิวสม่ำเสมอ

  • ใช้ตัวช่วยปรับสีผิว : การใช้เมคอัพที่ช่วยปรับแก้สีผิว (Color Corrector) สามารถช่วยกลบรอยแดงได้ชั่วคราว ในระหว่างที่รอให้ผิวฟื้นตัวตามธรรมชาติ โดยไพรเมอร์ หรือคอนซีลเลอร์ ที่มีเนื้อสีเขียว จะช่วยกลบรอยแดงได้ดีที่สุด
  • เลือกรองพื้นที่ไม่อุดตัน : เลือกรองพื้นสูตร “Non−comedogenic” ที่ไม่กระตุ้นให้เกิดสิวใหม่ โดยเมคอัพจากแร่ธาตุ (Mineral Makeup) มักเป็นตัวเลือกที่ดี ที่สุด สำหรับผิวแพ้ง่ายที่กำลังฟื้นตัว
  • ล้างหน้าอย่างเบามือ : การเช็ดล้างเครื่องสำอางอย่างเบามือ จะช่วยลดการระคายเคืองเพิ่มเติม ในบริเวณที่ผิวกำลังฟื้นฟู ผลิตภัณฑ์อย่างคลีนซิ่งออยล์ (Oil−based cleanser) หรือไมเซล่า วอเตอร์ (Micellar Water) จะช่วยล้างเมคอัพออกได้สะอาดหมดจด โดยไม่จำเป็นต้องถูผิวแรงๆ
  • ปกปิดแบบบางเบา : ผู้เชี่ยวชาญด้านความงาม แนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่สามารถทาทับ เพื่อเพิ่มระดับการปกปิดได้ (Buildable Coverage) แทนการใช้ผลิตภัณฑ์ที่เนื้อหนา และปกปิดหนักๆ ในทีเดียว วิธีนี้ จะทำให้ผิวได้ “หายใจ” แต่ยังคงให้การปกปิดที่เพียงพอ
  • รักษาความสะอาดอุปกรณ์ : ทำความสะอาดแปรง และฟองน้ำแต่งหน้าทุกสัปดาห์ เพื่อป้องกันการสะสมของแบคทีเรีย ที่อาจทำให้รอยสิวที่เป็นอยู่แย่ลงกว่าเดิม และควรเปลี่ยนอุปกรณ์ เมื่อใช้ไปนานแล้ว เพื่อสุขอนามัยที่ดีของผิว
  • เลี่ยงผลิตภัณฑ์คุมมันบนรอยสิว : หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยควบคุมความมัน (Mattifying Products) ทาลงบนรอยแดงโดยตรง เพราะจะยิ่งไปเน้นให้เห็นผิวที่ไม่เรียบเนียน และอาจทำให้รอยหายช้าลง