รอยดำรอยแดง ใช้อะไรดี บอกต่อวิธีการรักษารอยสิวให้หายไว เห็นผลจริง

รอยดำรอยแดง ใช้อะไร

รอยสิว ทั้งรอยแดง และรอยดำ สามารถคงอยู่บนผิวได้นาน แม้ว่าสิวจะหายดีแล้วก็ตาม ทำให้หลายคนรู้สึกกังวลใจกับผิวของตัวเอง แต่รอยสิวเหล่านี้ แตกต่างจาก “หลุมสิว” และสามารถรักษาให้จางลงได้ผลดี หากเลือกใช้วิธีการที่ถูกต้อง

สำหรับ รอยแดง ส่วนผสมอย่างไนอะซินาไมด์ (Niacinamide) และวิตามินซี (Vitamin C) จะช่วยลดรอยได้ดี ส่วน รอยดำ จะเหมาะกับส่วนผสมที่ช่วยให้ผิวกระจ่างใส เช่น วิตามินซี, ทราเนซามิก แอซิด (Tranexamic Acid) และกลุ่มเรตินอยด์ (Retinoids) หัวใจสำคัญจึงอยู่ที่การทำความเข้าใจว่า รอยสิวของเราเป็นแบบไหน เพื่อที่จะได้เลือกวิธีรักษาที่เหมาะสมที่สุด

บทความนี้ จะอธิบายถึงสาเหตุของการเกิดรอยสิว แนะนำสกินแคร์ที่ใช้ทาภายนอกที่ได้ผลดีที่สุด รวมถึงวิธีรักษาโดยผู้เชี่ยวชาญ สำหรับรอยสิวที่รักษายาก และให้คำแนะนำในการป้องกัน ที่สามารถนำไปใช้ได้จริง ไม่ว่าคุณจะกำลังเผชิญกับรอยแดง ที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่ๆ หรือรอยดำที่ฝังลึกมานาน การใช้วิธีรักษาที่ถูกต้องร่วมกัน จะช่วยให้สภาพผิวดูดีขึ้นอย่างชัดเจน และช่วยเรียกความมั่นใจกลับคืนมาได้

สรุปประเด็นสำคัญ

  • รอยแดง และรอยดำจากสิว เกิดจากการอักเสบ ซึ่งต้องใช้วิธีรักษาที่แตกต่างจากหลุมสิว
  • การใช้สกินแคร์ที่มีส่วนผสมอย่างวิตามินซี, ไนอะซินาไมด์ และเรตินอยด์อย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้รอยสิวจางลงได้
  • เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี ที่สุด ในระยะยาว ควรทำควบคู่กันระหว่างการรักษาโดยผู้เชี่ยวชาญ, การใช้สกินแคร์ที่เหมาะสม และการป้องกันไม่ให้เกิดรอยใหม่

สารบัญเนื้อหา

1. ทำความเข้าใจเรื่องรอยสิวแดง และรอยสิวคล้ำ

2. วิธีรักษารอยสิว ด้วยสกินแคร์ชนิดทา

3. วิธีรักษารอยสิวที่รักษายากโดยผู้เชี่ยวชาญ

4. การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และวิธีป้องกันรอยสิว

ทำความเข้าใจเรื่องรอยสิวแดง และรอยสิวคล้ำ

รอยสิว สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลักๆ ตามลักษณะที่เห็นภายนอก และสาเหตุการเกิด ส่วนรอยสิวจะจางหายช้า หรือเร็วนั้น ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ประเภทของผิว, ความรุนแรงของการอักเสบในช่วงแรก, และความสามารถในการฟื้นฟูตัวเองของผิวแต่ละคน

ความแตกต่างระหว่างรอยแดง (PIE) และรอยดำ (PIH)

รอยแดงหลังการอักเสบ (Post-inflammatory erythema หรือ PIE) จะมีลักษณะเป็นรอยแบนๆ สีแดง ชมพู หรือม่วงบนผิวหนัง รอยชนิดนี้ เกิดจากการที่สิวอักเสบ ไปทำความเสียหาย หรือทำให้เส้นเลือดฝอยที่อยู่ใต้ผิวหนังขยายตัว

สาเหตุของรอยแดง PIE มาจากความเสียหายของเส้นเลือดฝอย ไม่ได้เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของเม็ดสีผิว รอยชนิดนี้ มักจะเห็นได้ชัดในคนที่มีผิวขาว และอาจคงอยู่นานหลายสัปดาห์ ไปจนถึงหลายเดือน

รอยดำหลังการอักเสบ (Post-inflammatory hyperpigmentation หรือ PIH) จะมีลักษณะเป็นรอยจุดสีน้ำตาล ดำ หรือสีเข้มๆ เกิดขึ้นเมื่อเซลล์สร้างเม็ดสี (melanocytes) ผลิตเม็ดสีออกมามากเกินไป เพื่อตอบสนองต่อการอักเสบของสิว

รอยดำ PIH มักพบได้บ่อย ในคนที่มีผิวเข้ม หรือผิวสองสี เนื่องจากมีการผลิตเม็ดสีเมลานินมากกว่าปกติ สีของรอย อาจมีได้ตั้งแต่สีน้ำตาลอ่อน ไปจนถึงสีดำเข้ม ขึ้นอยู่กับโทนสีผิว และความรุนแรงของการอักเสบ

ประเภทของรอย ลักษณะที่ปรากฏ สาเหตุหลัก สภาพผิวที่พบได้บ่อย
PIE สีแดง, ชมพู, ม่วง ความเสียหายของเส้นเลือดฝอย โทนสีผิวที่สว่างกว่า
PIH สีน้ำตาล, ดำ, คล้ำ เมลานินส่วนเกิน โทนสีผิวที่คล้ำกว่า

ปัจจัยที่ทำให้รอยสิวหายช้า หรืออยู่กับเรานาน

  • ความรุนแรงของการอักเสบ : ยิ่งสิวอักเสบรุนแรงมากเท่าไหร่ รอยสิวก็จะยิ่งชัด และอยู่นานขึ้นเท่านั้น สิวอักเสบที่อยู่ลึกใต้ผิว และอักเสบรุนแรง เช่น สิวหัวช้าง สิวซีสต์ มักจะทิ้งรอยที่หายยากกว่าสิวตื้นๆ ทั่วไป
  • การบีบ แกะ หรือเค้นสิว : การกระทำเหล่านี้ จะยิ่งทำให้ผิวอักเสบ และบอบช้ำมากขึ้น ทำให้สิวหายช้าลง และรอยสิวก็จะยิ่งดูแย่ลงด้วย
  • การโดนแสงแดด : แสงแดด จะทำให้รอยสิวที่มีอยู่แล้วเข้มขึ้น และหายช้าลง เพราะรังสียูวี (UV) จะไปกระตุ้นให้ผิวผลิตเม็ดสีเมลานินมากขึ้น ทำให้รอยดำจากสิว (Post-Inflammatory Hyperpigmentation หรือ PIH) เห็นชัด และอยู่นานกว่าเดิม
  • การฟื้นตัวของผิวแต่ละคน : ผิวของแต่ละคนฟื้นตัวไม่เท่ากัน บางคนอาจผลิตคอลลาเจน หรือเม็ดสีได้ดีกว่า ซึ่งส่งผลให้รอยสิวจางเร็ว หรือช้าต่างกันไป
  • อายุ และฮอร์โมน : โดยทั่วไปผิวของคนอายุน้อย จะฟื้นตัวเร็วกว่าผิวของผู้ใหญ่ นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย ก็ส่งผลต่อการเกิดรอยสิว และความนานของรอยได้เช่นกัน

ประเภทของสีผิวส่งผลต่อรอยสิวอย่างไร

ผิวของคนเรา จะตอบสนองต่อการอักเสบ และทิ้งรอยสิวไว้แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับปริมาณเม็ดสีเมลานินในผิว

คนผิวขาว – ผิวเหลือง (Fitzpatrick skin types I-III)

  • มักเกิด “รอยแดง” (Post-Inflammatory Erythema หรือ PIE) เป็นหลัก เพราะผิวมีเม็ดสีน้อย จึงทำให้เห็นรอยแดง หรือรอยม่วง ที่เกิดจากเส้นเลือดใต้ผิวได้ชัดเจนกว่า
  • รอยแดง อาจจางลงได้เองในเวลาประมาณ 2-6 เดือน แต่ผิวประเภทนี้ จะไวต่อแสงแดดมาก ซึ่งอาจทำให้รอยที่เป็นอยู่แย่ลงได้

คนผิวสี – ผิวคล้ำ (Fitzpatrick skin types IV-VI)

  • มักเกิด “รอยดำ” (Post-Inflammatory Hyperpigmentation หรือ PIH) เป็นหลัก เพราะมีเม็ดสีเมลานินในผิวเยอะอยู่แล้ว พอเกิดสิวอักเสบ ผิวก็จะยิ่งถูกกระตุ้นให้ผลิตเม็ดสีมากขึ้น ทำให้เกิดเป็นรอยดำที่เข้ม และหายช้ากว่า
  • รอยดำอาจต้องใช้เวลานานถึง 6-12 เดือนกว่าจะจางลงเองตามธรรมชาติ ดังนั้น การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดรอยดำ และทาครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ จึงสำคัญมาก

คนผิวปานกลาง (ผิวสองสี)

  • อาจเกิดรอยสิวแบบผสมได้ คือ มีทั้งรอยแดง และรอยดำขึ้นมาพร้อมๆ กัน ซึ่งจำเป็นต้องใช้การรักษาที่ดูแล ทั้งปัญหารอยแดงจากเส้นเลือด และปัญหารอยดำจากเม็ดสีไปพร้อมกัน

วิธีรักษารอยสิว ด้วยสกินแคร์ชนิดทา

สกินแคร์ชนิดทา เป็นวิธีแก้ปัญหารอยสิวที่ตรงจุด โดยมีส่วนผสมออกฤทธิ์ (actives) ที่แตกต่างกัน สำหรับรักษารอยแดง และรอยดำโดยเฉพาะ หัวใจสำคัญ คือ การเลือกใช้ส่วนผสมให้ถูกกับปัญหาผิว และเรียนรู้วิธีใช้อย่างปลอดภัย ในกิจวัตรประจำวัน

ส่วนผสมสำหรับรักษารอยแดง

รอยสิวสีแดงเกิดจากการอักเสบ จึงตอบสนองได้ดีกับส่วนผสมที่ช่วยลดการอักเสบ และปลอบประโลมผิว

  • ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide) : เป็นส่วนผสมหลัก ที่ช่วยลดรอยแดง พร้อมทั้งเสริมเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรงขึ้น
  • กรดอะซีลาอิก (Azelaic Acid) : มีประโยชน์ 2 ต่อ คือ ช่วยลดการอักเสบ และช่วยผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยน จึงเหมาะกับคนที่มีผิวแพ้ง่าย
  • สารสกัดจากใบบัวบก (Centella Asiatica) และชาเขียว (Green Tea Extract) : เป็นส่วนผสมจากธรรมชาติ ที่มีคุณสมบัติต้านการอักเสบ ช่วยปลอบประโลมผิวที่กำลังอักเสบ และทำให้รอยแดงค่อยๆ จางลง
  • กลุ่มเรตินอยด์ (Retinoids) : ช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิว ทำให้รอยแดงจางลงเร็วขึ้น และยังช่วยป้องกันการเกิดสิวใหม่ได้อีกด้วย

ส่วนผสมที่ดีที่สุด สำหรับรักษารอยดำ

รอยสิวสีดำ (หรือรอยดำ) ต้องใช้วิธีการรักษาที่แตกต่างจากรอยแดง

  • วิตามินซี (Vitamin C) : ช่วยทำให้รอยดำสว่างขึ้น โดยทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ และยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานิน
  • ไฮโดรควิโนน (Hydroquinone) : เป็นส่วนผสมมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับว่า มีประสิทธิภาพสูงสุดในการรักษารอยดำ เพราะสามารถยับยั้งการผลิตเม็ดสีได้อย่างดีเยี่ยม แต่ต้องใช้อย่างระมัดระวัง เพื่อเลี่ยงการระคายเคือง
  • กรดโคจิก (Kojic Acid) และอาร์บูติน (Arbutin) : เป็นทางเลือกที่อ่อนโยนกว่าไฮโดรควิโนน แม้จะเห็นผลช้ากว่า แต่ก็ก่อให้เกิดการระคายเคืองน้อยกว่า เหมาะสำหรับผิวแพ้ง่าย
  • เรตินอล (Retinol) และกลุ่มเรตินอยด์ (Retinoids) : ช่วยเร่งกระบวนการผลัดเซลล์ผิว ทำให้รอยดำจางลงเร็วขึ้น โดยการผลักเซลล์ผิวเก่าออกไป และเผยผิวใหม่ที่ไม่มีรอยขึ้นมาแทน
  • กรดอัลฟ่าไฮดรอกซี (AHA) เช่น กรดไกลโคลิก (Glycolic Acid) : ช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไป ทำให้ผิวโดยรวมดูกระจ่างใสขึ้น และยังช่วยให้ส่วนผสมอื่นๆ ซึมซาบเข้าสู่ผิวได้ดียิ่งขึ้น

ผลิตภัณฑ์ที่หาซื้อได้ทั่วไป vs. ผลิตภัณฑ์ที่ต้องสั่งโดยแพทย์

  • ผลิตภัณฑ์ที่หาซื้อได้ทั่วไป (Over-the-Counter) : เหมาะสำหรับรักษารอยสิวที่ไม่รุนแรงมากนัก เช่น เซรั่มเรตินอลที่หาซื้อได้ตามร้านค้าทั่วไป
  • ไฮโดรควิโนน (Hydroquinone) : ความเข้มข้น 2% สามารถหาซื้อได้เอง แต่หากมีความเข้มข้นสูงกว่านั้น จำเป็นต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผิวหนัง เพื่อความปลอดภัย
  • เรตินอยด์ที่แพทย์สั่ง (Prescription Retinoids) : เช่น Tretinoin (เตรติโนอิน) จะออกฤทธิ์เร็วกว่า และให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนกว่าเรตินอลทั่วไป แต่ต้องค่อยๆ เริ่มใช้ เพื่อป้องกันการระคายเคือง
  • ไฮโดรควิโนน 4% ที่แพทย์สั่ง : ใช้สำหรับรักษารอยดำที่ฝังแน่น และรักษายาก ซึ่งแพทย์ มักจะให้ใช้ร่วมกับส่วนผสมอื่นๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
  • การทำเคมีคอลพีล (Chemical Peels) : เป็นการรักษาที่เข้มข้นโดยผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งจะให้ผลลัพธ์ที่รวดเร็วกว่าการทาผลิตภัณฑ์ทุกวัน เหมาะสำหรับคนที่มีรอยสิวรุนแรง

วิธีลงสกินแคร์อย่างมีประสิทธิภาพ

  • เริ่มจากเนื้อบางเบาที่สุด : ควรลงผลิตภัณฑ์ที่มีเนื้อเหลว หรือบางเบาที่สุดก่อน เช่น เซรั่มวิตามินซี หรือ ไนอะซินาไมด์ แล้วค่อยตามด้วยครีมที่เนื้อหนักกว่า
  • เว้นระยะห่าง : ควรรอประมาณ 10-15 นาที ระหว่างการลงสกินแคร์ ที่มีส่วนผสมออกฤทธิ์แต่ละตัว เพื่อให้ผิวดูดซึมได้อย่างเต็มที่ และป้องกันไม่ให้ส่วนผสมทำปฏิกิริยาต่อกัน
  • ข้อควรระวังในการใช้ร่วมกัน : ห้ามใช้เรตินอยด์พร้อมกับกรด AHA ในเวลาเดียวกันเด็ดขาด เพื่อเลี่ยงการระคายเคือง ควรแบ่งเป็น ใช้ AHA ตอนเช้า และใช้เรตินอยด์ตอนกลางคืน
  • ทาเฉพาะจุด : ทาผลิตภัณฑ์ลงบนบริเวณที่มีรอยสิวโดยตรง ไม่จำเป็นต้องทาทั่วทั้งใบหน้า วิธีนี้ จะช่วยลดการระคายเคืองที่ไม่จำเป็นได้
  • ห้ามลืมครีมกันแดด : สำคัญที่สุด ต้องทาครีมกันแดดทุกวันในตอนเช้า เพราะส่วนผสมรักษารอยสิวส่วนใหญ่ ทำให้ผิวไวต่อแสงแดดมากขึ้น หากไม่ทากันแดด อาจทำให้รอยดำคล้ำขึ้นกว่าเดิมได้

วิธีรักษารอยสิวที่รักษายากโดยผู้เชี่ยวชาญ

เมื่อการรักษาด้วยยาทาภายนอก ไม่ได้ผลกับรอยสิวแดง และรอยดำที่ฝังแน่น หัตถการโดยผู้เชี่ยวชาญ จึงเป็นทางเลือกที่ให้ผลการรักษาที่เข้มข้น และล้ำลึกกว่า การรักษาเหล่านี้ จะทำโดยแพทย์ผิวหนัง ซึ่งจะใช้ส่วนผสมออกฤทธิ์ ที่มีความเข้มข้นสูง และเทคโนโลยีขั้นสูง เพื่อให้การรักษาลงไปได้ลึกถึงชั้นผิว

การผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมี (Chemical Peels)

คือ การใช้กรดเข้มข้นในทางการแพทย์ เพื่อลอกชั้นผิวที่เสียหายออกไป และกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ โดยจะใช้กรดเช่น AHA และ BHA ที่มีความเข้มข้นสูงตั้งแต่ 20% ถึง 70%

  • การลอกผิวชั้นตื้น (Superficial peels) : ทำในระดับชั้นหนังกำพร้า ใช้เวลาพักฟื้นน้อย
  • การลอกผิวชั้นกลาง (Medium-depth peels) : ลงลึกถึงชั้นหนังแท้ เพื่อให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนกว่า

การผลัดเซลล์ผิวด้วยกรด TCA (Trichloroacetic acid) มีประสิทธิภาพมากเป็นพิเศษ สำหรับรักษารอยดำ โดยจะเข้าไปทำลายเซลล์เม็ดสีที่ผิดปกติ และกระตุ้นการสร้างผิวใหม่

  • จำนวนครั้ง : โดยทั่วไปต้องทำ 3-6 ครั้ง ห่างกันครั้งละ 2-4 สัปดาห์
  • ผลลัพธ์ : จะเริ่มเห็นผลหลังทำไปแล้ว 2-3 ครั้ง โดยรอยดำจะค่อยๆ จางลง
  • ผลข้างเคียง : อาจมีอาการแดง ผิวลอก หรือสีผิวบริเวณที่รักษาเข้มขึ้นชั่วคราว การทาครีมกันแดด เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ในช่วงพักฟื้น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดรอยดำใหม่

การรักษาด้วยเลเซอร์ (Laser Therapy)

เป็นการใช้พลังงานแสงเลเซอร์ ยิงไปที่เป้าหมายเฉพาะในผิวหนัง (เช่น เม็ดสี) เพื่อสลายเม็ดสีส่วนเกินให้แตกออก

  • Fractional CO2 Laser : สร้างแผลขนาดเล็กมากๆ บนผิวอย่างแม่นยำ เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และการผลัดเซลล์ผิวใหม่
  • IPL (Intense Pulsed Light) : ใช้แสงความเข้มสูงหลายช่วงคลื่น เพื่อจัดการกับเม็ดสีเมลานินที่สะสมอยู่ สามารถปรับให้เหมาะกับสภาพผิว และสีของรอยที่แตกต่างกันได้
  • Q-switched Laser : ปล่อยพลังงานสูงในระยะเวลาสั้นๆ เพื่อทำให้เม็ดสีกระจายตัวแตกออกเป็นอนุภาคเล็กๆ จากนั้นร่างกายจะกำจัดเม็ดสีเหล่านี้ ออกไปเองตามธรรมชาติ
  • จำนวนครั้ง : ส่วนใหญ่ต้องทำ 3-5 ครั้ง โดยเว้นระยะห่าง 4-6 สัปดาห์
  • ข้อควรระวัง : ผู้ที่มีสีผิวเข้มจำเป็นต้องเลือกชนิดของเลเซอร์อย่างระมัดระวัง เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดรอยดำหลังทำ โดยเลเซอร์ในกลุ่ม Nd (Nd lasers) มักเป็นตัวเลือกที่เหมาะกับคนไข้กลุ่มนี้

การทำไมโครนีดลิ่ง (Microneedling)

เป็นการใช้เข็มขนาดเล็กมากๆ (ความลึก 0.5 – 3 มม.) สร้างช่องเล็กๆ บนผิวหนังอย่างควบคุมได้ เพื่อกระตุ้นกลไกการซ่อมแซมตัวเองตามธรรมชาติของร่างกาย และเพิ่มการสร้างคอลลาเจน การทำโดยผู้เชี่ยวชาญจะลงได้ลึก และปลอดภัยกว่าอุปกรณ์ที่ทำเองที่บ้าน

  • Microneedling + คลื่นวิทยุ (Radiofrequency Microneedling) : เป็นการใช้เข็มร่วมกับพลังงานความร้อน เพื่อช่วยกระตุ้นการสร้าง และจัดเรียงคอลลาเจนได้ดียิ่งขึ้น ทำให้ประสิทธิภาพการรักษาสูงขึ้น
  • จำนวนครั้ง : โดยทั่วไปจะนัดทำทุกๆ 4-6 สัปดาห์ และจะเห็นผลดีขึ้นหลังทำไปแล้ว 3-4 ครั้ง เพราะคอลลาเจนที่สร้างขึ้นใหม่ จะช่วยเติมเต็มรอยหลุม และทำให้สีผิวสม่ำเสมอขึ้น
  • การรักษาเสริม : มักมีการใช้เกล็ดเลือดเข้มข้น (PRP) ทาลงบนผิวระหว่างการทำ เพื่อใช้โกรทแฟคเตอร์ (Growth Factors) ที่อยู่ใน PRP มาช่วยเร่งกระบวนการฟื้นฟูผิว และให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และวิธีป้องกันรอยสิว

การปกป้องผิวจากแสงแดด การดูแลผิวอย่างอ่อนโยนสม่ำเสมอ และการกินอาหารที่มีประโยชน์ มีผลอย่างมากต่อการจางลงของรอยแดงรอยดำจากสิว วิธีพื้นฐานเหล่านี้ จะช่วยเสริมการรักษาเฉพาะจุด ทำให้รอยสิวหายเร็วขึ้น และป้องกันการเกิดรอยใหม่

การป้องกันแสงแดด เพื่อไม่ให้รอยสิวแย่ลง

การโดนแสงแดด และรังสียูวี จะทำให้รอยสิวที่มีอยู่เข้มขึ้น และชะลอกระบวนการจางลงตามธรรมชาติของผิว รอยดำจากสิว (Post-inflammatory hyperpigmentation) จะยิ่งเห็นได้ชัด และเข้มขึ้น เมื่อโดนแดด โดยไม่มีการป้องกันที่เพียงพอ

  • ทาครีมกันแดดทุกวัน : เป็นสิ่งสำคัญมาก สำหรับทุกคนที่มีปัญหารอยสิว ควรเลือกกันแดดที่เป็นแบบ ‘broad-spectrum’ (ป้องกันได้ทั้งรังสี UVA และ UVB) มีค่า SPF 30 ขึ้นไป และที่สำคัญ คือ ต้องไม่มีส่วนผสมที่อุดตันรูขุมขน กันแดดแบบมิเนอรัล (Mineral sunscreen) ที่มีส่วนผสมของซิงค์ออกไซด์ (Zinc Oxide) หรือไทเทเนียมไดออกไซด์ (Titanium Dioxide) เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับคนเป็นสิวง่าย
  • ใช้อุปกรณ์ช่วยป้องกัน : การสวมหมวกปีกกว้าง หรือใส่เสื้อผ้าที่ป้องกันรังสียูวี ก็ช่วยเสริมประสิทธิภาพของครีมกันแดดได้ดี โดยเฉพาะช่วงเวลาที่แดดแรงที่สุด คือ 10 โมงเช้า ถึง 4 โมงเย็น
  • ทาซ้ำระหว่างวัน : ควรทากันแดดซ้ำทุกๆ 2 ชั่วโมง เพื่อให้การป้องกันต่อเนื่องตลอดทั้งวัน โดยเฉพาะเวลาที่ต้องทำกิจกรรมกลางแจ้ง หรืออยู่กลางแดดเป็นเวลานาน แม้แต่วันที่ฟ้าครึ้มก็ยังต้องทากันแดด เพราะรังสียูวียังสามารถทะลุผ่านเมฆลงมาได้

พฤติกรรมการดูแลผิว ที่ช่วยให้รอยสิวหายเร็วขึ้น

  • ล้างหน้าอย่างอ่อนโยน : ล้างหน้าอย่างเบามือวันละ 2 ครั้ง เพื่อขจัดความมันส่วนเกิน และเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไป โดยไม่ทำให้ผิวระคายเคือง การขัดถูผิวแรงๆ หรือล้างหน้าบ่อยเกินไป จะยิ่งทำให้การอักเสบแย่ลง และทำให้รอยสิวหายช้า
  • ใช้มอยส์เจอไรเซอร์เสมอ : ใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่ “ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน” (Non−comedogenic) เพื่อช่วยให้เกราะป้องกันผิวแข็งแรง และป้องกันการอุดตัน ผิวที่ชุ่มชื้นจะฟื้นฟูตัวเองได้เร็วกว่า
  • ห้ามแกะ หรือบีบสิว : หลีกเลี่ยงการแกะ บีบ หรือเค้นสิว เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวหนังชั้นในเสียหาย เพราะพฤติกรรมนี้ มักจะทำให้เกิดแผลเป็นที่รุนแรงขึ้น และรอยดำที่เข้มกว่าเดิม ซึ่งต้องใช้เวลานานกว่าจะจางลง
  • รักษาความสะอาด : เปลี่ยนปลอกหมอนทุก 2-3 วัน และใช้ผ้าเช็ดตัวที่สะอาดซับหน้าเสมอ เพื่อลดการสะสมของแบคทีเรียที่อาจสัมผัสผิว
  • ทำเป็นประจำสม่ำเสมอ : การใช้สกินแคร์ในเวลาเดิมทุกวัน จะช่วยให้ส่วนผสมต่างๆ ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และต่อเนื่อง

อาหารการกิน และผลกระทบต่อการฟื้นฟูผิว

  • ทานอาหารลดการอักเสบ : อาหารที่ช่วยลดการอักเสบ จะช่วยฟื้นฟูผิวจากภายใน เช่น ปลาที่มีโอเมก้า 3 สูง, ผักใบเขียว, และผักผลไม้หลากสี ซึ่งมีสารอาหารที่ช่วยลดการอักเสบ และซ่อมแซมเซลล์ผิว
  • จำกัดอาหารน้ำตาลสูง : จำกัดอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลสูง (High−glycemic) เช่น น้ำตาลขัดสี และคาร์โบไฮเดรตแปรรูป จะช่วยควบคุมการเกิดสิวใหม่ ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดรอยสิว
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ : การดื่มน้ำให้เพียงพอ จะช่วยให้ผิวชุ่มชื้น และสนับสนุนกระบวนการฟื้นฟูตามธรรมชาติของร่างกาย น้ำยังช่วยขับของเสีย และลำเลียงสารอาหารไปยังเซลล์ผิวได้ดีขึ้น
  • ทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ : ทานอาหารที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่, ชาเขียว, และดาร์กช็อกโกแลต เพื่อช่วยปกป้องผิวจากความเสียหาย และสนับสนุนการฟื้นตัว
  • เสริมวิตามินซี : วิตามินซีที่พบในผลไม้รสเปรี้ยว และพริกหยวก จะช่วยในการสร้างคอลลาเจน ซึ่งเป็นโปรตีนที่จำเป็นอย่างมากต่อการฟื้นฟูผิว และช่วยให้รอยสิวจางลง